กฎเกณฑ์ในการสอบใบขับขี่ในปัจจุบัน
การสอบใบขับขี่ในปัจจุบันแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็ยังระเบียบและวิธีการสอบที่คล้ายๆ เดิม และยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ ซึ่งโดยหลักๆ ที่จะต้องมีสำหรับผู้ที่จะต้องไปทำใบขับขี่ นั่นคือ คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ขับขี่ และหลักฐานที่จะต้องนำไปเพื่อขอรับใบอนุญาตขับขี่ด้วย ดังนั้นเรามาดูกันว่า คนแบบไหนถึงจะมีคุณสมบัติที่จะได้ใบขับขี่
1คุณสมบัติของผู้ที่ต้องการสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตขับขี่
- ต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
- ต้องไม่มีใบอนุญาตขับรถชนิดเดียวกันอยู่แล้ว
- ต้องเป็นผู้ที่ไม่อยู่ระหว่างการถูกยึดหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
หมายเหตุ สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการ ดังต่อไปนี้ เช่น แขนขาดข้างเดียว ขาขาดข้างเดียว ตาบอดข้างเดียว ลำตัวพิการ หูหนวก
เมื่อต้องการมีใบอนุญาตขับขี่ ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ขนส่งฯ ก่อน จึงจะทำได้
หลักฐานประกอบคำขอการสอบเพื่อขออนุญาตมีใบขับขี่
1. บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมใบสำเนา(หรือบัตรประจำตัวข้าราชการพร้อมใบสำเนาที่ใช้แทนบัตรประชาชน)
2. ใบรับรองแพทย์ตัวจริง ไม่เกิน 1 เดือน ที่รับรองว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ ซึ่งหากในวันเขียนคำร้องไม่ได้นำไปด้วย ก็สามารถนำไปยื่นในวันสอบข้อเขียนได้ ซึ่งหากไม่มีใบรับรองแพทย์ เจ้าหน้าที่เขาไม่ให้เข้าห้องสอบ
ขั้นตอนการยื่นหลักฐานและการสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตขับขี่
1.ยื่นเอกสารและหลักฐานในการขอรับใบอนุญาตขับขี่ แนะนำให้มายื่นแต่เช้า คือเวลา 08.00-08.30น. และ ควรเตรียมเอกสารให้ครบจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาหลายครั้ง
2. สอบสมรรถภาพทางร่างกาย มีดังต่อไปนี้
ทดสอบสายตาบอดสี
ทดสอบสายตาทางลึก
การทดสอบแบบนี้เป็นการดึงเส้นเชือกเพื่อให้แท่งพลาสติกขยับเข้าหากันอยู่ในระดับเดียวกันซึ่งจะต้องทำ 2 ครั้ง คือดึงด้านเชือกด้านซ้ายก่อน ส่วนเชือกทางขวาจะหย่อน จากนั้นจึงดึงเชือกทางขวาให้ตึง โดยเชือกด้านซ้ายจะหย่อน
ทดสอบสายตาทางกว้าง
การทดสอบนี้จะเป็นการบอกสีที่เราเห็น โดยให้วางคางแนบกับแท่นฐาน สายตามองตรง ทำได้เพียงชำเลืองตาเท่านั้น จากนั้นจึงบอกสีที่เราเห็น หากบอกถูกก็ผ่าน
ทดสอบการใช้เท้า
การทดสอบแบบนี้ จะถูกจำลองมาจากการเหยียบเบรกและเบรกคันเร่ง ซึ่งต้องใช้เท้าข้างขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น สลับขา ซ้าย-ขวาเหยียบไม่ได้นะคะ ผิดกติกา โดยตอนแรกให้เราใช้เท้าขวาเหยียบลงไปที่แป้นด้านขวา จากนั้นเมื่อขึ้นไฟสีแดงให้เปลี่ยนมาเหยียบที่แป้นด้านซ้าย ซึ่งต้องเหยียบให้ทันก่อนที่ออดจะขึ้น เพราะถ้ามีเสียงออดแสดงว่าไม่ผ่าน สำหรับการทดสอบในขั้นตอนนี้จะให้ทดสอบทั้งหมด 2 ครั้ง ถ้าทำไม่ได้ก็สามารถไปจ่อท้ายแถวเพื่อทำการทดสอบอีกครั้งได้
3. ทดสอบข้อเขียนหรือตอบคำถามจากโจทย์ (คำถามมี 50 ข้อ ต้องตอบให้ถูก 45 ข้อขึ้นไป)
ซึ่งระเบียบใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2557 ได้กำหนดให้ผู้ที่ขอรับใบอนุญาตขับขี่ต้องสอบข้อเขียนให้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปถึงจะมีสิทธิ์ ไปสอบภาคปฏิบัติ และทางสำนักงานขนส่ง ยังอนุญาตให้สอบได้คนละ 2 ครั้งๆละ 1 ชั่วโมง ซึ่งหากเราสอบครั้งแรกไม่ผ่านก็สามารถไปรับคีย์การ์ดกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับชุดข้อสอบใหม่ได้ และนอกจากนี้เรายังสามารถดูข้อสอบข้อที่ตอบผิดในครั้งแรกได้อีกด้วย (ดูเผื่อๆ ไว้ เผื่อว่าข้อสอบชุดที่สองจะมีออกซ้ำกัน)
ก่อนที่จะมีการทดสอบข้อเขียนต้องมีการเข้าฟังการอบรม 4 ชั่วโมงในช่วงเช้า สำหรับผู้ที่ทำใบขับขี่ใหม่ (ใบขับขี่ชั่วคราว ซึ่งมีอายุ 2 ปี)และ อบรม 1 ชั่วโมงสำหรับผู้ที่ต้องการต่ออายุใบขับขี่ชั่วคราว เพื่อเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ถาวรแบบ 5 ปี
วันสอบปฏิบัติขับรถ :
ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรนัด ซึ่งระบุว่าสอบผ่านข้อเขียนเอาไว้ ซึ่งจะมีอายุ 90 วันนับจากวันที่ได้เข้ารับการอบรมและสอบข้อเขียนเรียบร้อยแล้ว สำหรับเวลาเริ่มสอบภาคปฏิบัติ คือ 10.30น.
1 4.1 การขับรถเดินหน้าและหยุดรถเทียบทางเท้า
1. ด้านซ้ายของรถต้องขนานขอบทางและห่างจากขอบทางไม่เกิน 25 เซนติเมตร
2. กันชนหน้าหรือล้อหน้าสุดหรือขอบล้อสำหรับที่ไม่มีกันชนหน้าต้องไม่ล้ำเกินจุดหยุดรถข้างทาง และต้องอยู่ห่างจากจุดหยุดรถนั้น ไม่เกิน 1 เมตร
3. ต้องไม่ขับรถปีนทางเท้าหรือขอบทาง
4.2 การขับรถเดินหน้าและถอยหลังในทางตรง ให้เลือกทดสอบแบบใดแบบหนึ่ง ดังนี้
แบบที่ 1 ให้ขับรถเดินหน้าและถอยหลังออกโดยตลอดช่องเดินรถ ซึ่งประกอบด้วยหลักที่ตั้งไว้ในแนวตรงขนานกัน 2 แถว มีความยาวประมาณ 10 - 12 เมตร หลักแต่ละหลักในแถวเดียวกัน มีระยะห่าง 1.5 เมตร ส่วนความกว้างของช่องเดินรถเท่ากับความกว้างสุดของตัวรถบวกกับอีก 50 เซนติเมตร ต้องไม่ขับรถชนหรือเบียดหลัก
แบบที่ 2 ให้ขับรถเดินหน้าถอยหลังเข้าช่องทางที่กำหนดซึ่งมีขนาดความกว้าง 2.50 เมตร ล้อรถต้องไม่ทับเส้นแบ่งช่องทาง ไม่ชน หรือปีนขอบทาง
4.3 การขับรถถอยหลังเข้าจอด
นำรถถอยหลังเข้าจอด โดยท้ายรถต้องตั้งฉากกับขอบทาง ล้อรถต้องไม่ทับเส้นแบ่งช่องทาง ไม่ปีน หรือไม่ตกขอบทาง แต่ให้ชนหรือเบียดขอบทางได้
เครดิตภาพจาก: Bkkdriving